top of page

แมวป่วยมีอาการยังไง? วิธีสังเกตเบื้องต้น และสิ่งที่ต้องทำทันที

  • Writer: phyathai7 pet care
    phyathai7 pet care
  • Aug 5
  • 2 min read
แมวป่วย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์

คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยของน้องแมว อย่าง “แมวซึม” “แมวเบื่ออาหาร” หรือ “อาการแมวป่วย” ถือเป็นคำค้นหายอดฮิตสำหรับเหล่าทาสแมว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะทาสแมวหลายคนคงไม่แน่ใจว่าอาการที่น้องแมวเป็นอยู่ จะเรียกว่า “ป่วย” ได้มั้ยนะ? แล้วเมื่อไหร่กันนะที่ควรไปหาหมอ? วันนี้เราจึงขอรวบรวมทริกในการสังเกตอาการป่วยของน้องแมว เพื่อที่หากน้อง แมวป่วย เหล่าทาสจะได้จัดการพาน้องไปหาคุณหมอได้อย่างทันท่วงที!


สังเกต 3 สัญญาณที่อาจบ่งบอกว่า แมวป่วย


แมวป่วยดูยังไง? ต้องบอกก่อนว่า การสังเกตอาการป่วยในน้องแมวถือเป็นหนึ่งในความท้าทายของเหล่าทาสแมว เพราะเจ้าแมวเหมียวเป็นสัตว์ที่เก็บซ่อนอาการเก่ง และไม่แสดงความอ่อนแอออกมาง่าย ๆ บางครั้งแม้ป่วยก็ยังพยายามทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าเจ้าของ 


แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะดูอาการน้องแมวไม่ออกเลย เพราะสิ่งที่บ่งบอกอาการป่วยของน้องแมวได้ดีคือ “พฤติกรรม” ของน้องแมวที่เปลี่ยนไป เช่น จากที่เคยชอบวิ่งเล่น กลับขยับตัวน้อยลง หรือจากที่เคยเป็นเจ้าเหมียวนักกิน แต่อยู่ ๆ กลับไม่กินอาหารซะอย่างงั้น ไปจนถึงการพบการหายใจผิดปกติ หรืออาการอาเจียน หากพบสัญญาณเหล่านี้ให้สงสัยไว้ก่อนว่า น้องแมวอาจมีอาการป่วยซ่อนอยู่ 


แมวซึม เบื่ออาหาร

ซึม เบื่ออาหาร 


อาการซึมและเบื่ออาหารเป็นหนึ่งในอาการผิดปกติที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะยิ่งเห็นอาการได้ชัดเจนหากเจ้าเหมียวเคยเป็นแมวที่แอ็กทีฟ ชอบเล่นมาก่อน หากกลายเป็น แมวซึม นอนทั้งวัน ไม่สนใจของเล่นชิ้นโปรด บางตัวอาจเลือกที่จะไปซ่อนตัวตามซอกหลืบต่าง ๆ และเงียบผิดปกติ ไม่ส่งเสียงร้องเหมือนเคย การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของควรสังเกต แต่ก็อาจไม่สามารถบอกได้เฉพาะเจาะจงว่าน้องแมวเป็นโรคอะไรจากอาการซึมและเบื่ออาหาร ทั้งนี้ต้องให้สัตวแพทย์ทำการวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของอาการป่วยต่อไป


มีปัญหาการขับถ่าย


การขับถ่ายที่ผิดปกติ สามารถเป็นได้ทั้งการขับปัสสาวะและอุจจาระ โดยอาการผิดปกติของปัสสาวะ มีได้ทั้ง ปัสสาวะมากเกิน ปัสสาวะกะปริบกะปรอย สีปัสสาวะผิดปกติ ไปจนถึงไม่พบปัสสาวะเลยก็ได้ ส่วนการขับถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ มักบ่งชี้ถึงความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร สามารถพบได้ทั้งภาวะท้องเสียและภาวะท้องผูก อุจจาระปนเลือด ซึ่งเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน เป็นภาวะที่เหล่าทาสแมวไม่ควรมองข้าม ควรพาน้องมาพบสัตวแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา


อาเจียน


อาการอาเจียนเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อย แมวมักแสดงอาการคลื่นไส้ เช่น เลียปาก กลืนน้ำลาย น้ำลายไหล และพบว่าช่องท้องมีการบีบตัว ทั้งนี้เมื่อน้องแมวมีอาการอาเจียนอาจไม่ได้บ่งชี้ว่าน้องแมวมีความผิดปกติที่ทางเดินอาหารเสมอไป โดยอาจเกิดจากสารพิษ โรคไต หรือโรคตับอ่อน เพราะฉะนั้นเมื่อพบว่าน้องแมวมีอาการอาเจียน เช่น อาเจียนบ่อยครั้ง อาเจียนอย่างต่อเนื่องเกิน 24 ชั่วโมง หรืออาเจียนหลังจากกินอาหารทุกมื้อ ควรพาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยเช่นกัน


แมวป่วยเพราะอะไรบ่อยที่สุด? 7 โรคยอดฮิตที่ต้องระวัง


โรคหวัดแมว (Cat flu หรือ feline upper respiratory infection)


โรคหวัดแมวคือ การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนในแมว ซึ่งเกิดได้จากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาการทั่วไปคือ จาม มีน้ำมูกและน้ำตาไหล มีไข้ ซึม และเบื่ออาหาร โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายในหมู่น้องแมวด้วยกัน แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่ติดต่อสู่คน แต่น้องแมวทุกตัวควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดความรุนแรงของอาการ 


โรคหัดแมว (Feline panleukopenia)


โรคหัดแมวเกิดจากการติดเชื้อไวรัส feline panleukopenia virus (FPV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่รุนแรงและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ไวรัสนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินอาหารของแมว มักพบในลูกแมวที่ยังไม่ได้รับวัคซีนและมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต อาการหลักของโรคหัดแมว ได้แก่ อาเจียน ซึ่งมักมีเลือดปน ท้องเสียรุนแรง โดยอุจจาระมักมีเลือดปนและมีกลิ่นเหม็น แมวจะแสดงอาการซึม เบื่ออาหาร มีไข้สูง ร่างกายขาดน้ำอย่างรวดเร็ว และอาจมีภาวะโลหิตจางร่วมด้วย


โรคเชื้อราผิวหนัง (Dermatophytosis หรือ ringworm)


โรคเชื้อราผิวหนังเกิดจากการติดเชื้อราที่ผิวหนังของสัตว์เลี้ยง อาการที่พบบ่อยคือ ขนร่วงเป็นหย่อมๆ มีขุยหรือสะเก็ด มักพบว่ามีลักษณะเป็นวง จึงถูกเรียกว่า “ringworm” โรคนี้ติดต่อได้ง่ายทั้งในกลุ่มน้องแมวเอง และยังสามารถติดต่อมาสู่เจ้าของได้อีกด้วย 


โรคผิวหนังจากปรสิต (Parasitic Skin Disease)


ปรสิตภายนอก เช่น หมัด เห็บ ไร และเหา เป็นสาเหตุของปัญหาผิวหนังในสัตว์เลี้ยง อาการที่พบ ได้แก่ อาการคันอย่างรุนแรง ขนร่วง ผิวหนังแดง หรือมีแผลจากการเกา สามารถป้องกันได้ไม่ยากโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมปรสิตตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และดูแลสุขอนามัยในบ้านให้สะอาด


โรคระบบปัสสาวะส่วนปลาย (Feline lower urinary tract disease; FLUTD)


FLUTD เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะในแมว โรคนี้พบบ่อยในแมวที่เลี้ยงในบ้าน โดยเฉพาะแมวโตที่น้ำหนักเกิน สาเหตุมีหลากหลาย ทั้งนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การติดเชื้อ หรือแม้แต่ความเครียด โดยอาการเด่นที่เจ้าของควรสังเกตคือ แมวจะปัสสาวะบ่อยผิดปกติ อาจพบเลือดปนในปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะยาก ทำท่าเบ่งปัสสาวะ หรือไม่มีปัสสาวะเลย ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ควรพามาโรงพยาบาลสัตว์


โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease)


โรคไตเรื้อรังเป็นหนึ่งในภาวะที่พบบ่อย โดยเฉพาะในแมวสูงวัย เกิดจากการเสื่อมสภาพของไตอย่างช้า ๆ และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยไตมีหน้าที่กรองของเสียออกจากกระแสเลือด เมื่อไตทำงานบกพร่อง ของเสียจะสะสมในร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วย สัญญาณที่บ่งบอกว่าน้องแมวอาจกำลังเผชิญกับโรคไต ได้แก่ การดื่มน้ำและปัสสาวะบ่อยครั้งผิดปกติ แมวจะแสดงอาการซึม เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจมีอาการอาเจียน มีแผลในช่องปาก กลิ่นปากเหม็นผิดปกติ 


โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว (Feline infectious peritonitis; FIP)


โรค FIP เกิดจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาในแมว (FCoV) ซึ่งพบในลำไส้ของแมวและก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหาร โรคนี้มีความรุนแรงและมักพบในแมวที่มีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่แออัดหรือไม่สะอาด ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้เชื้อไวรัสกลายพันธุ์จนก่อโรค FIP ในแมวยังไม่เป็นที่แน่ชัด อาการที่มักพบ ได้แก่ ท้องขยายใหญ่ขึ้นจากการสะสมน้ำในช่องท้อง หายใจลำบาก ซึม เบื่ออาหาร มีไข้ เหงือกซีดหรือเหลือง ดวงตาผิดปกติ และอาจมีอาการชัก


วิธีดูแลแมวป่วยเบื้องต้นที่บ้าน


แมวดื่มน้ำจากน้ำพุแมว

เมื่อเจ้าเหมียวแสดงอาการป่วย สิ่งสำคัญคือการสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ เช่น อาการซึม เบื่ออาหาร หรือการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการกินและขับถ่าย รวมถึงควรจัดหาน้ำสะอาดให้แมวเข้าถึงได้ง่าย อาจลองวางชามน้ำหลายจุด หรือใช้น้ำพุแมวเพื่อกระตุ้นให้ดื่มน้ำมากขึ้น  หากแมวเบื่ออาหาร ลองใช้อาหารเปียกที่อุ่นเล็กน้อยเพื่อให้มีกลิ่นหอมน่ากิน และการจัดสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ อบอุ่น และปราศจากความเครียดก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการพักฟื้นของน้อง ๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาสัตวแพทย์ทันทีเมื่อแมวมีอาการผิดแปลกไปจากปกติ


สิ่งที่ห้ามทำโดยเด็ดขาดคือการนำยาของคนมาให้แมวกิน ยาคนหลายชนิด เช่น พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน แอสไพริน อาจส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้นอกจากยาคนแล้ว สำหรับยาที่คุณหมอสั่ง เราก็ไม่ควรปรับยาเอง เพราะน้องแมวตัวเล็กกว่าเรามาก ปริมาณยาเพียงนิดเดียวก็ทำให้เกิดอันตรายได้ โดยการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับแมวควรมาจากการวินิจฉัยและคำแนะนำของสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น


เมื่อไหร่ควรพาแมวไปหาหมอทันที


The American Animal Hospital Association (AAHA) ได้สรุปสัญญาณอันตรายไว้ถึง 10 สัญญาณด้วยกัน ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่แมวพบเจออาการเหล่านี้ ก็ควรพาน้องแมวไปโรงพยาบาลสัตว์ในทันที


  1. ภาวะหายใจลำบาก (difficulty breathing)

  2. อาเจียนหรือถ่ายเหลวอย่างต่อเนื่อง (persistent vomiting or diarrhea)

  3. แน่นิ่งไม่ตอบสนอง (unresponsiveness)

  4. ภาวะชัก (seizures)

  5. ภาวะสูญเสียเลือด หรือได้รับการบาดเจ็บ (bleeding or injury)

  6. พฤติกรรมเปลี่ยนอย่างฉับพลัน (sudden behavior changes)

  7. อวัยวะมีการบวม หรือพบช่องท้องขยายใหญ่ (swelling or bloating)

  8. เหงือกซีดหรือเปลี่ยนสี (pale or discolored gums)

  9. พบการบาดเจ็บของดวงตา (eye injuries)

  10. ภาวะอัมพาต หรือภาวะอ่อนแรง (paralysis or extreme weakness)


น้องแมวอาจพูดกับเราไม่ได้ แต่น้องสามารถสื่อสารผ่านพฤติกรรมเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนไปเสมอ หน้าที่ของเราคือการใส่ใจ และตอบสนองต่อการสื่อสารเหล่านั้นอย่างเข้าใจ ฉะนั้นอย่ารอให้น้องแมวป่วยจนสายเกินแก้ แค่สังเกตให้ไว ใส่ใจให้มาก และไม่ลังเลที่จะพาเขาไปหาหมอเมื่อรู้สึกว่า “บางอย่างไม่ปกติ” เพราะสำหรับเจ้าเหมียว...เราไม่ใช่แค่เจ้าของ แต่คือ “ครอบครัว” ที่เขาไว้ใจที่สุด

Comments


© 2025 by PHYATHAI 7 Group Co., Ltd

  • Instagram
  • TikTok
line-me.png
bottom of page