โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) อันตรายแค่ไหน? สรุปข้อควรรู้ที่ต้องระวัง
- phyathai7 pet care
- Oct 20
- 2 min read

โดนหมากัดนิดเดียว ต้องไปโรงพยาบาลไหม? ต้องฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าไหม?
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยมีคำถามนี้เกิดขึ้นในหัวแทบแทบทุกครั้งที่เราได้รับกับบาดแผลจากน้องหมา (หรือบางทีก็น้องแมวข่วน) เพราะหลายคนคิดว่าแค่เป็นแผลนิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอก แต่อย่างไรก็ดีนี่อาจเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด เพราะเพียงแค่แผลเล็กๆ ก็อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า โรคอันตรายร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย
โรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร?
โรคพิษสุนัขบ้า (rabies) คือโรคติดเชื้อไวรัสที่โจมตีระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการทางสมองและระบบประสาทก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา โรคนี้มีหลายชื่อเรียก เช่น โรคกลัวน้ำ หรือ โรคหมาบ้า โดยทั่วไปเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านน้ำลายสัตว์ที่ติดเชื้อจากการกัด ข่วน หรือเลีย ผ่านทางแผล เยื่อบุตา หรือปาก ความน่ากลัวของโรคพิษสุนัขบ้าคือเมื่อเริ่มมีอาการแล้ว แทบจะไม่มีทางรักษาให้หายได้เลย และผู้ป่วยที่เริ่มแสดงอาการเด่นชัดมักเสียชีวิตภายในไม่กี่วัน
ดังนั้นแนวทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ติดโรคด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัจบ้า และถ้าเกิดถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่คิดว่ามีเชื้อพิษสุนัขบ้ากัดแล้วให้รีบฉีดวัคซีนโดยด่วนทันที และที่สำคัญโรคพิษสุนัขบ้าอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด เพราะจากข้อมูลเฝ้าระวังล่าสุดของไทยย้ำว่า ช่วงปี 2567 ถึงไตรมาสแรก 2568 มีผู้เสียชีวิตจากพิษสุนัขบ้าถึง 8 ราย สะท้อนว่าการป้องกันอย่างจริงจังและการได้รับวัคซีนทันทีหลังถูกกัดหรือได้รับความเสี่ยงยังเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคน
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากอะไร? เข้าใจสาเหตุและการติดเชื้อ

เชื้อพิษสุนัขบ้า เป็นไวรัสในตระกูล Rhabdoviridae อยู่ในน้ำลายสัตว์ที่ติดเชื้อ กลไกการติดเชื้อที่พบบ่อยคือการถูกกัด แต่การข่วนหรือน้ำลายสัมผัสแผลถลอกหรือเยื่อบุต่างๆ เช่น ตา จมูก ปาก ก็ทำให้เชื้อเข้าสู่เส้นประสาทและเดินทางสู่สมองได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังอาจพบได้กรณีอื่นๆ เช่น การปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ติดเชื้อ ก็สามารถแพร่เชื้อได้แม้ว่าจะเป็นกรณีที่พบไม่มากนักก็ตาม ประเด็นสำคัญของโรคพิษุสนัขบ้าคือแม้ว่าจะมีชื่อสุนัขในชื่อโรคแต่เชื้อไวรัสไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสุนัขเท่านั้น เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแทบทุกชนิดล้วนเป็นพาหะได้ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงยอดนิยมใกล้ตัวเราอย่างแมว นอกจากนี้ยังเคยมีเคสในต่างประเทศที่มีคนติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากค้างคาวหรือกระรอกมาแล้วด้วยเช่นกัน
โรคพิษสุนัขบ้า มีระยะฟักตัว โดยเฉลี่ยประมาณ 3 สัปดาห์ - 3 เดือน แต่อาจสั้นกว่านั้นหรือยาวเป็นปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งแผล (ยิ่งใกล้สมองหรือเส้นประสาทสำคัญยิ่งอันตราย), จำนวนเชื้อ, ความลึกของแผล และภูมิคุ้มกันของผู้ถูกกัด การเข้าใจเรื่อง “ระยะฟักตัว” ช่วยให้เราไม่ชะล่าใจ เพราะถึงแม้ยังไม่มีอาการ ก็ยังมีความเสี่ยงสูงหากไม่รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างทันท่วงที
สัตว์ชนิดไหนเสี่ยงแพร่เชื้อพิษสุนัขบ้า? รู้ไว้ก่อนเข้าใกล้
พาหะหลักของโรคพิษุสนัขบ้าคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแทบทุกชนิด โดยส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจาก สุนัข, แมว, ค้างคาว, วัว, ลิง รวมถึงสัตว์ป่าอื่น ๆ สำหรับในไทยพบว่าติดเชื้อจากสุนัขและแมวมากที่สุด
อีกเรื่องเข้าใจผิดที่ต้องทำความเข้าใจใหม่คือไม่ใช่แค่เฉพาะ “สัตว์จรจัด” เท่านั้นที่เสี่ยง สัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้รับวัคซีนตามกำหนด ก็สามารถติดเชื้อและแพร่สู่คนได้เช่นกัน หากพบสัตว์มีพฤติกรรมผิดปกติ มีอาการหวาดกลัวหรือก้าวร้าวผิดธรรมชาติ น้ำลายไหลมาก กลืนลำบาก แสดงอาการไวต่อเสียงและแสงผิดปกติ แนะนำให้อย่าเข้าใกล้ตัวสัตว์ดังกล่าวและควรแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที
โรคพิษสุนัขบ้าอาการเป็นอย่างไร?
อาการพิษสุนัขบ้าในคน
สำหรับโรคพิษสุนัขบ้า อาการในมนุษย์ แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะเริ่มต้น (Incubation Period) เป็นช่วงเชื้อไวรัสกำลังฟักตัวในร่างกาย ผู้ป่วยมักมีอาการคือมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย คันหรือแสบร้อนบริเวณแผล
2. ระยะอาการทางระบบประสาท (Neurological Stage) เป็นช่วงที่ไวรัสเดินทางไปทำลายระบบประสาทและเนื้อเยื่อสมอง ผู้ป่วยมักมีอาการ กระสับกระส่าย สับสน หวาดกลัวน้ำ/ลม กลืนลำบาก กล้ามเนื้อกระตุก เห็นภาพหลอน หรือเป็นอัมพาตอ่อนแรง
3. ระยะท้าย (Terminal Stage) เป็นช่วงที่อาการรุนแรงที่สุด โดยผู้ป่วยจะมีอาการอัมพาต หายใจล้มเหลว โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด
อาการ โรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ
สำหรับอาการโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ ก็แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะที่ 1 ระยะนี้สัตว์จะแสดงอาการประมาณ 2-3 วัน โดยสัตว์จะมีอารมณ์และนิสัยเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น สุนัขที่เคยขี้เล่นอาจกลายเป็นคนชอบเก็บตัว เงียบๆ หรือสุนัขที่เคยขี้กลัวกลับกลายเป็นเข้าหาคน นอกจากนี้ยังพบว่าสัตว์อาจมีไข้เล็กน้อย ม่านตาขยาย กินอาหารและน้ำน้อยลง
2. ระยะที่ 2 ในระยะนี้สัตว์จะแสดงอาการกระวนกระวาย หงุดหงิด มีความตื่นตัวสูง ไม่ยอมหยุดนิ่ง นอกจากนี้ยังพบอาการเด่นชัดคือสัตว์จะมีความก้าวร้าวสูง กัดแทะทุกอย่างไม่เลือก นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอื่นๆ เช่น เสียงร้องเปลี่ยนไป ตัวแข็ง หรือตัวชักกระตุกได้
3. ระยะที่ 3 (หรือระยะสุดท้าย) ในระยะนี้สัตว์จะเริ่มเป็นอัมพาตทั้งแบบบางส่วนหรือแบบทั้งตัว ในสัตว์ที่เป็นอัมพาตบางส่วนนั้นมักจะพบอาการกล้ามเนื้อคอ่อนแรง ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ทำให้กลืนอาหารและน้ำไม่ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่โรคพิษสุนัขบ้ามีอีกชื่อว่า “โรคกลัวน้ำ” นั่นเอง สำหรับสัตว์ที่มีอาการอัมพาตทั้งตัวจะทำให้สัตว์ล้มลงและลุกไม่ได้ และสุดท้ายสัตว์จะเสียชีวิตจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
ถ้าถูกสุนัขหรือแมวกัดต้องทำอย่างไร?

สิ่งสำคัญที่สุดถ้าถูกสัตว์แปลกหน้าหรือสัตว์ที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดคือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยสามารถใช้หลักการจำง่ายๆ สามข้อ คือ ล้างแผล-พบแพทย์-เฝ้าระวัง โดยแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้
ล้างแผลนานอย่างน้อย 15 นาที ด้วยน้ำไหลและสบู่ ทำความสะอาดให้ถึงก้นแผล เช็ดให้แห้งแล้วใส่ยาฆ่าเชื้อ (เช่นโพวิโดน-ไอโอดีน) ขั้นตอนนี้แม้จะฟังดูง่ายๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าสามารถลดปริมาณไวรัสได้มากอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว
ไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อประเมินความเสี่ยง รับวัคซีน และ/หรือ อิมมูโนโกลบูลิน (rabies immunoglobulin; RIG) ในแผลที่ลึก/เสี่ยงสูง รวมถึงพิจารณาฉีดวัคซีนบาดทะยักและยาปฏิชีวนะ
หากเป็นสัตว์มีเจ้าของ ให้ติดตามประวัติการฉีดวัคซีนและเฝ้าระวังอาการ 10 วัน (ถ้าสัตว์ยังสบายดีตลอดช่วงสังเกต แสดงว่าโอกาสติดเชื้อพิษสุนัขบ้าต่ำ) แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือห้ามรอดูอาการโดยที่ไม่รีบไปพบแพทย์เด็ดขาดเพราะอาจจะทำให้เชื้อไวรัสฟักตัวและสายเกินไปได้ โดยควรได้รับวัคซีนทันทีตามแพทย์สั่ง แล้วให้แพทย์ประเมินต่อแนวทางการรักษาต่อตามผลการสังเกตตัวสัตว์อีกครั้ง
โดนสุนัขกัดต้องฉีดยาภายในกี่วัน / วัคซีนพิษสุนัขบ้า ต้องฉีดภายในกี่วัน?
คำตอบที่ถูกต้องคือ “ควรฉีดให้เร็วที่สุดและไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมงหลังถูกกัดหรือได้รับแผล และต้องฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าให้ครบตามนัดเพื่อให้ภูมิคุ้มกันขึ้นทันเวลา การได้รับวัคซีนช้าออกไปยิ่งเพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะแผลบริเวณศีรษะ คอ ใบหน้า และนิ้วมือ ที่เชื้อเดินทางสู่สมองได้เร็วกว่าบริเวณอื่น
วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า ต้องฉีดกี่เข็ม

สำหรับในคน วัคซีนมีทั้งแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (IM) และฉีดเข้าชั้นผิวหนัง (ID) โดยองค์การอนามัยโลกมีแนวทางการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าดังต่อไปนี้
1. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular, IM) 4 เข็ม คือ ครั้งละ 1 เข็ม ในวันที่ 0, 3, 7, 14 หรือ 28
2. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular, IM) 4 เข็ม คือ ครั้งละ 2 เข็ม ในวันที่ 0 และครั้งละ 1 เข็ม ในวันที่ 7 และ 21
3. ฉีดใต้ผิวหนัง (intradermal, ID) ครั้งละ 2 จุด ในวันที่ 0, 3 และ 7
นอกจากนี้ในคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น สัตวแพทย์ ผู้ทำงานกับสัตว์/ห้องปฏิบัติการ หรือผู้เดินทางไปพื้นที่ระบาด ยังมีการฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าแบบป้องกันล่วงหน้า (Pre-exposure) ได้ โดยในปัจจุบันมีแนวทางการฉีดจาก องค์การอนามัยโลก 2 สูตร ดังต่อไปนี้
1. ฉีดใต้ผิวหนัง (ID) ครั้งละ 2 จุด ในวันที่ 0 และ 7
2. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (IM) 1 เข็ม ในวันที่ 0 และ 7
สำหรับในสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในสุนัขและแมว การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจะเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อน้องๆ อายุ 12-14 สัปดาห์ แล้วแต่สัตวแพทย์เห็นว่าเหมาะสม จากนั้นฉีดเข็มที่สองห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ จากนั้นจะเป็นการฉีดกระตุ้นทุกปี โดยสำหรับในประเทศไทยนั้นเจ้าของสุนัขและแมวทุกคนมีหน้าที่ต้องพาน้องๆ ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามกำหนด โดยหากไม่ทำตามจะมีผลโดนโทษปรับตามกฎหมายด้วยนะ
พอรู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมพาน้องหมาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ากัน โดยสามารถพาน้องๆ ไปที่คลินิกและโรงพยาบาลสัตว์ทั่วไปทุกแห่ง นอกจากนี้ยังสามารถฉีดได้ที่สถานเสาวภา สภากาชาดไทย และหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ของสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร อีกด้วย
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขและแมว : การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าถือเป็นแนวทางป้องกันที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุดที่เจ้าของสุนัขและแมวทุกคนห้ามลืมเด็ดขาด แนะนำให้เจ้าของพาสุนัขและแมวไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามกำหนดอย่างเคร่งครัดทุกครั้ง รวมไปถึงฉีดกระตุ้นทุกปีหรือตามที่สัตวแพทย์กำหนด
2. ไม่ปล่อยสัตว์เลี้ยงของเราเพ่นพ่าน : เพื่อลดโอกาสที่สัตว์เลี้ยงของเราไปทะเลาะหรือกัดกับสัตว์อื่น ส่งผลให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าลดลง
3. ทำหมัน : หากมั่นใจว่าไม่อยากให้สัตว์เลี้ยงของเรามีลูกเพิ่มแล้ว การทำหมันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีที่ช่วยลดพฤติกรรมหวงถิ่นและการหนีเที่ยว ซึ่งช่วยลดการกัดและการสัมผัสเชื้อตามมาได้
4. พาออกนอกบ้านอย่างปลอดภัย : เมื่อพาสุนัขหรือแมวออกจากบ้านควรใส่สายจูงทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย โดยควรใช้สายจูงที่แข็งแรง และอาจพิจารณาใส่ตะกร้อครอบปากสำหรับสุนัขที่ตื่นกลัวง่าย
5. แยกกักสัตว์ใหม่เข้าบ้าน : เมื่อมีการรับเลี้ยงสุนัขหรือแมวตัวใหม่เข้ามาในบ้านให้กักดูอาการ 7–10 วัน รวมไปถึงพาน้องตัวใหม่ไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนกับสัตวแพทย์ให้เรียบร้อยก่อนปล่อยรวม
6. ดูแลบริเวณรอบบ้านให้สะอาด เก็บขยะให้มิดชิด : เพราะหลายครั้งขยะเป็นแหล่งดึงดูดสัตว์จรจัดและสัตว์ป่าในบริเวณใกล้ๆ ให้มาคุ้ยขยะซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้
7. ไม่แหย่หรือรบกวนสัตว์ที่ไม่คุ้นเคย : หากพบสัตว์จรจัดหรือสัตว์ป่าไม่ควรเข้าไปสัมผัสในทันที รวมไปถึงไม่สัมผัสซากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ดิบจากสัตว์ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา และถ้าถูกกัดหรือข่วน ต้องรีบปฐมพยาบาลและไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังพบสัตว์ติดเชื้อเป็นระยะ ๆ
สำหรับเจ้าของทั้งน้องหมาและน้องแมวที่สนใจสามารถรับบริการฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าในสัตว์เลี้ยง พร้อมรับคำแนะนำด้านการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ที่ โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7 โดยทีมคุณหมอแผนกอายุรกรรมได้ทั้งสาขาอารีย์ และสาขาบางนา
โรคพิษสุนัขบ้า รักษาได้ไหม?
คำตอบชัดเจนคือ หากมีอาการปรากฏออกมาแล้วจะไม่สามารถรักษาได้ ดังนั้นโรคพิษสุนัขบ้าจึงเป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตได้แทบจะ 100% สิ่งเดียวที่ทำได้คือการป้องกัน โดยรีบไปฉีดวัคซีนหลังถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลียบริเวณผิวหนังที่มีแผลเปิดทันที การรอให้แผลหายเอง หรือรอดูอาการไปก่อนนั้นอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้เลย
สรุป 5 ข้อควรรู้ที่ต้องระวังของโรคพิษสุนัขบ้า
โดยสรุปแล้วโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่ร้ายแรงและไม่สามารถรักษาได้เมื่อเริ่มมีอาการ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ “ป้องกันให้เร็วที่สุด” ดังนั้นเจ้าของสัตว์เลี้ยงและทุกคนที่มีโอกาสสัมผัสสัตว์เสี่ยง ควรทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าเหล่านี้ไว้ เพื่อป้องกันตัวเองและคนใกล้ตัวอย่างถูกวิธี
1. สาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า : เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สามารถแพร่สู่คนได้จากการกัด ข่วน เลียแผล หรือสัมผัสเยื่อบุตา ปาก จมูก
2. ระยะฟักตัวของโรค : โดยเฉลี่ยใช้เวลา 3 สัปดาห์–3 เดือน แต่บางรายอาจนานกว่านั้นได้ ห้ามคิดว่า “ไม่ป่วยทันทีแปลว่าปลอดภัย ไม่ต้องไปฉีดวัคซีนก็ได้”
3. การปฐมพยาบาลเมื่อถูกกัดหรือข่วน : รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดต่อเนื่องอย่างน้อย 15 นาที จากนั้นใส่ยาฆ่าเชื้อ และไปโรงพยาบาลทันที ห้ามรอดูอาการเอง
4. การฉีดวัคซีนในคน : ต้องเริ่มให้เร็วที่สุดและฉีดให้ครบตามกำหนดหลังจากถูกกัดหรือมีความเสี่ยง กรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยาภูมิคุ้มกันร่วมด้วย
5. ลดความเสี่ยงด้วยตนเอง : เพราะเมื่อเริ่มมีอาการแล้ว โรคพิษสุนัขบ้าไม่มีทางรักษาให้หายได้ การฉีดวัคซีนป้องกันให้สัตว์เลี้ยงทุกปี หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์จรจัด และรีบไปพบแพทย์หลังถูกกัดหรือข่วน อย่าชะล่าใจว่าเป็นแค่แผลเล็กๆ คือวิธีป้องกันที่ได้ผลที่สุด
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่ป้องกันได้ แต่รักษาไม่ได้เมื่อเริ่มมีอาการ สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันตั้งแต่ต้น ทั้งการฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยงเป็นประจำ และการรีบไปพบแพทย์ทันทีหากถูกกัดหรือข่วน หากคุณยังไม่ได้พาน้องหมาหรือน้องแมวไปฉีดวัคซีนหรือเช็กสุขภาพประจำปี อย่าลืมจัดเวลาให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยของทั้งสัตว์เลี้ยงและคนในครอบครัว โดยสามารถเข้ารับบริการได้ที่ โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7 พร้อมดูแลเรื่องโปรแกรมวัคซีนและโปรแกรมสุขภาพสัตว์เลี้ยงเฉพาะด้าน โดยทีมคุณหมอเฉพาะทางและอายุรกรรมทั่วไป สะดวกอุ่นใจ 24 ชั่วโมง ได้ทั้งสาขาอารีย์ และสาขาบางนา






Comments