10 โรคตาแมวที่พบบ่อย พร้อมวิธีสังเกตอาการและแนวทางรักษา
- phyathai7 pet care
- Oct 20
- 2 min read

ไม่รู้ว่าตาแมวเป็นอะไร แบบนี้ควรพาไปหาคุณหมอมั้ย ?
เชื่อว่าเหล่าทาสแมวหลายคนคงเคยพบเจอกับอาการทางตาของน้องแมวทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น แมวหรี่ตา น้ำตาไหล ตาแมวมีเยื่อขาวๆ ตาแมวอักเสบ ตาแดง ซึ่งบางทีเจ้าแมวที่บ้านแม้จะมีอาการก็ยังได้ชีวิตได้ (เหมือนจะ) ปกติ ทำให้เจ้าของอย่างเราเบาใจ แต่รู้ไหมว่า อาการที่ดูไม่รุนแรงเหล่านี้ บางทีหากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจรุนแรงจนส่งผลถึงการมองเห็นของน้องแมวได้เลย !
สัญญาณเตือนโรคตาในแมวที่เจ้าของไม่ควรมองข้าม
แม้ดวงตาจะเป็นอวัยวะขนาดเล็ก แต่เป็นโครงสร้างซับซ้อนที่มีหลายองค์ประกอบด้วยกัน ดังนั้นความผิดปกติของดวงตาจึงมีความหลากหลาย และอาจบ่งบอกถึง โรคตาในแมว แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการสังเกตอาการได้ทันท่วงที และพาไปพบสัตวแพทย์แต่เนิ่น ๆ มีส่วนช่วยให้การวินิจฉัยของคุณหมอแม่นยำ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเหล่าทาสแมวก็สามารถสังเกตสุขภาพตาน้องแมวได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยอาจสังเกตจากอาการเหล่านี้
ตาแดง
ตาขุ่น ตาสูญเสียความใส
มีน้ำตามาก
มีขี้ตาสะสม
พบเลือดออก ทั้งภายในหรือภายนอกดวงตา
มีอาการคันตา เกาตา เอาหน้าถูสิ่งของ
หรี่ตา
ตาไม่สู้แสง
ขนาดหรือตำแหน่งดวงตาแมวผิดปกติ เช่น ลูกตาโปนออกจากเบ้าตา หรือลูกตาเล็กลง
พบสิ่งแปลกปลอมที่ผิวตาหรือในดวงตา หรือมีโครงสร้างบดบังดวงตา
10 โรคตาในแมวที่พบได้บ่อย สาเหตุ อาการ และการรักษา

1. ตาอักเสบจากโรคติดเชื้อ
สาเหตุหลักมักมาจากเชื้อไวรัส feline herpesvirus-1 (FHV-1) ที่ทำให้เกิดโรคหวัดแมว หรือจากการติดเชื้อ Chlamydia sp. และ Mycoplasma sp. มักพบในลูกแมว อาการที่พบคือ แมว น้ำตาไหล หรี่ตา เยื่อบุตาขาวบวมแดง และมักมีอาการหวัดร่วมด้วย เช่น จาม น้ำมูกใส หากพบอาการนี้ควรแยกน้องแมวออกจากตัวอื่น และควรพาไปหาสัตวแพทย์เพื่อรับการล้างตา ยาฆ่าเชื้อ และรักษาอาการหวัด เพราะอาจรุนแรงถึงชีวิตได้
2. ภาวะเยื่อบุตาขาวอักเสบ หรือ ตาแดง
เกิดจากการติดเชื้อ สิ่งแปลกปลอม หรือการระคายเคือง อาการที่พบบ่อยคือ แมวขอบตาแดง เยื่อบุตาขาวและหนังตาที่สามบวมแดง กะพริบถี่ มีขี้ตา และคันตามากจนชอบเกา ควรใส่คอลลาร์ป้องกันไม่ให้แมวข่วนตา ก่อนรีบพาไปหาคุณหมอเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรับยาหยอดตาหรือยาอื่น ๆ เพื่อรักษาอาการอักเสบ
3. แผลที่กระจกตา
กระจกตาคือส่วนพื้นผิวตาของตาดำ ซึ่งอาจเกิดแผลได้จากการต่อสู้ การเกาตา ขนตาที่งอกผิดปกติ สิ่งแปลกปลอม รวมถึงการติดเชื้อ ส่งผลให้เกิดความเสียหายของผิวกระจกตา โดยแมวจะมีอาการแมวเจ็บตา น้ําตาไหล หนังตาที่สามโผล่ยื่น เกาตา ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือควรใส่คอลลาร์ป้องกันไม่ให้น้องเอามือไปเกาที่ตา และพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโดยการย้อมสีกระจกตาเพื่อประเมินความรุนแรง และรับยาหยอดตาหรือยาชนิดอื่น ๆ อีกทั้งสามารถรักษาได้ด้วยการขูดผิวกระจกตาหรือการผ่าตัดเพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมผิวกระจกตา
4. กระจกตาอักเสบ
เกิดได้จากการติดเชื้อ การเกาตา ขนตาที่งอกผิดปกติ สิ่งแปลกปลอม ส่งผลให้เกิดเซลล์อักเสบสะสมที่ผิวกระจกตา พบเป็นลักษณะกระจกตาบวมนูน แมวตาขุ่น อาจพัฒนารุนแรงจนพบปื้นสีน้ำตาล-ดำบนกระจกตา มีอาการหนังตากระตุก น้ำตาแมว เป็นสีแดงอิฐ รวมถึงกลัวแสงร่วมด้วย ทั้งนี้ควรพามาพบสัตวแพทย์โดยทันที และควรใส่คอลลาร์ป้องกันการเกา โดยการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค อาจเป็นได้ทั้งการใช้ยาหยอดตาหรือยาอื่น ๆ ไปจนถึงการผ่าตัด
5. ม่านตาอักเสบ (Uveitis)
ภาวะม่านตาอักเสบในแมวมักเกิดจากการติดเชื้อ รวมถึงความดันโลหิตสูง ทำให้น้องแมวมีอาการกะพริบตาถี่ น้ำตาไหล ม่านตาสีเข้มขึ้น หากอาการรุนแรงอาจพบว่าภายในลูกตาส่วนตาดำมีลักษณะขุ่นหรือมีเลือดสะสม และสูญเสียการมองเห็นได้ หากพบแมวมีอาการดังกล่าว ควรพามาพบสัตวแพทย์ทันทีเพื่อรับยาหยอดหรือยาอื่น ๆ เช่น ยาลดอักเสบ และยาขยายม่านตา
6. โรคของหนังตาและขนตา
ความผิดปกติของหนังตาและขนตาสามารถก่อความเสียหายให้กับลูกตาได้เช่นกัน โดยสามารถพบได้ทั้งภาวะหนังตาม้วนเข้า หนังตาม้วนออก หนังตาฉีกขาด ภาวะขนตาเจริญผิดปกติ ส่งผลให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง น้องแมวมีน้ำตาเยอะ แมวขี้ตาเยอะ หรี่ตา กะพริบตาถี่ รวมถึงมีความเสี่ยงที่น้องแมวจะเกาตา ดังนั้นจึงควรใส่คอลลาร์และพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อจัดการต้นเหตุที่ก่อการระคายเคือง เช่น การถอนขนตา หรือการผ่าตัดหนังตา รวมถึงรับยาหยอดตา
7. ต้อหิน (Glaucoma)
ต้อหิน คือภาวะที่ความดันภายในลูกตาพุ่งสูง เกิดได้จากการสร้างและการระบายของของเหลวในดวงตาไม่สมดุล ส่งผลให้โครงสร้างทั้งหมดของดวงตาได้รับการเสียหาย แมวตาเจ็บ หรี่ตา ตาไม่สู้แสง หลบซ่อนตัว เส้นเลือดตาขยายตัว แมวตาบวม และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด โดยอาการอาจเป็นได้ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ล้วนแต่สร้างความเจ็บปวดให้แมว เพราะฉะนั้นเจ้าของควรจับแมวอย่างนุ่มนวลและระมัดระวัง และพามาพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจตาและวัดความดันตา รวมถึงรับการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด
8. ต้อกระจก (Cataract)
เกิดได้จากทั้งพันธุกรรมและโรคทางระบบ ส่งผลให้คุณสมบัติของเลนส์ตาเปลี่ยนแปลงไปเป็นลักษณะเลนส์ตาขุ่นขาว ตาแดง เส้นเลือดขยายตัวรอบตาดำ ภาวะต้อกระจกทำให้สัตว์มองภาพไม่ชัดเจนจนถึงอาจสูญเสียการมองเห็นได้ จึงควรดูแลสภาพแวดล้อมในบ้านให้คงที่ เก็บสิ่งกีดขวางที่อันตราย รวมถึงควรพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยรวมเพื่อหาสาเหตุ และรักษาที่ต้นเหตุ รวมถึงรับยาหยอดตาและยาอื่น ๆ เพื่อชะลอความเสื่อมของตา ไปจนถึงอาจรักษาด้วยการผ่าตัด
9. จอประสาทตาลอกหลุด (Retinal detachment)
เกิดได้จากความดันโลหิตสูง แมวตาอักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และการบาดเจ็บ โดยจะพบว่าน้องแมวมีการมองเห็นลดลง ไปจนถึงสูญเสียการมองเห็น รวมถึงอาจพบอาการทางระบบอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้จอประสาทตาลอกหลุด เช่น อาการของโรคไต โรคหัวใจ ดังนั้นจึงควรสังเกตอาการโดยรวม พร้อมกับดูแลสภาพแวดล้อมในบ้านให้คงที่ เก็บสิ่งกีดขวางที่อันตราย รวมถึงควรพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยรวมเพื่อหาสาเหตุ และรักษาที่ต้นเหตุ
10. การบาดเจ็บของดวงตา
เกิดได้จากสิ่งแปลกปลอม การกระทบกระแทก อาการมีได้ตั้งแต่แมวตาเจ็บ หรี่ตา กะพริบตาถี่ มีเลือดออก พบสิ่งแปลกปลอม ไปจนถึงอาจพบลูกตาถลนออกมาได้ โดยการดูแลเบื้องต้น ควรประคองน้องให้อยู่นิ่งที่สุด (และระวังการโดนกัด!) ดูแลผิวตาให้ชุ่มชื้นเสมอ ไม่ควรพยายามดึงเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาหรือดันลูกตากลับเข้าไปด้วยตัวเอง และรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะเพียงไม่กี่นาทีก็ส่งผลถึงการมองเห็นได้ สัตวแพทย์มีวิธีการรักษาแตกต่างกันไปขึ้นกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น ทำความสะอาดตา นำเอาสิ่งแปลกปลอมออก ไปจนถึงการผ่าตัด
วิธีป้องกันโรคตาในแมว
การดูแลสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่เหล่าทาสแมวไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด เช่น แมวพันธุ์หน้าสั้นอย่างเปอร์เซียที่มักมีคราบน้ำตาหรือขนบนใบหน้าทิ่มเข้าตา เจ้าของจึงควรหมั่นเช็ดคราบน้ำตาและเล็มขนรอบดวงตาอยู่เสมอ ควบคู่กับการดูแลสภาพแวดล้อมให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงจากสิ่งปนเปื้อนที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองตาได้
นอกจากนี้ สุขภาพตาของแมวยังสะท้อนถึงสุขภาพร่างกายโดยรวม แมวที่แข็งแรงจะมีดวงตาใส สดใส และร่าเริง ในทางกลับกัน หากน้องป่วยก็มักจะดูซึมและแววตาหม่นลง ดังนั้นเจ้าของจึงควรดูแลทั้งโภชนาการ การออกกำลังกาย และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ที่สำคัญคือควรพาแมวไปตรวจสุขภาพประจำอย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคตาเป็นสิ่งที่ต้องแข่งกับเวลา ยิ่งตรวจพบและรักษาได้เร็ว โอกาสหายก็มากขึ้น
เมื่อไหร่ควรพาแมวไปหาสัตวแพทย์?
อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นความผิดปกติใด ๆ ก็สามารถส่งผลถึงการมองเห็นและคุณภาพชีวิตของน้องแมวได้ ดังนั้นเมื่อพบความผิดปกติของดวงตา จึงควรพาน้องแมวมาพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้อาการเบื้องต้นที่ควรพาน้องแมวมาพบสัตวแพทย์ทันทีมีดังนี้
พบสัญญาณของการเจ็บตา เช่น การหรี่ตา กะพริบตาบ่อย เกาตา รวมถึงน้องแมวอาจดุร้ายมากขึ้น
แมวน้ำตาไหลต่อเนื่อง รวมถึงน้องแมวมีขี้ตาสะสมปริมาณมาก
พบอาการทางระบบ เช่น ซึม มีไข้ ร่วมด้วย
ตำแหน่งและรูปทรงของโครงสร้างลูกตาเปลี่ยนไป
พบความเสียหายรุนแรง เช่น การฉีกขาดของโครงสร้างต่าง ๆ เลนส์ตาเคลื่อนหลุด
พบสิ่งแปลกปลอมในดวงตา
ลูกตาถลนออกมานอกเบ้า
สูญเสียการมองเห็นแบบเฉียบพลัน
และด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนของดวงตา ในทางสัตวแพทย์จึงมีจักษุสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาโดยเฉพาะ เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาเป็นไปอย่างตรงจุดและแม่นยำ อีกทั้งในปัจจุบันยังมีโรงพยาบาลสัตว์พร้อมแผนกเฉพาะทางด้านโรคตาที่มีเครื่องมือครบครันสำหรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเต็มรูปแบบ ช่วยเพิ่มโอกาสให้น้องแมวได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด
จะเห็นได้ว่า ความผิดปกติของดวงตาแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลต่อการมองเห็น ซึ่งถือเป็นประสาทสัมผัสสำคัญของน้อง ๆ ได้ นอกจากนี้ไม่ใช่แค่โรคตาแมวโดยตรงเท่านั้นที่ทำให้ตาผิดปกติ แต่โรคทางระบบหรือสุขภาพโดยรวมของร่างกายก็สามารถส่งผลถึงดวงตาได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าของจึงควรหมั่นสังเกตอาการและดูแลสุขภาพน้องแมวอย่างรอบด้านอยู่เสมอ เพื่อให้น้องมีสุขภาพที่ดีและมีแววตาที่สดใสไปนาน ๆ
โดยที่โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7 ทั้งสาขาอารีย์และสาขาบางนา มีศูนย์โรคตาเพื่อดูแลน้องแมวที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาโดยเฉพาะ พร้อมรองรับอุบัติเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีอุปกรณ์ตรวจตาและเครื่องมือครบครันพร้อมสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาโรคตาที่ซับซ้อนรวมถึงโรคทางระบบอื่น ๆ เพื่อให้การดูแลรักษาเป็นไปอย่างรอบด้านและแม่นยำมากที่สุด






Comments